รับปรึกษาปัญหาสุขภาพ ด้วยอาหารเสริม โทร 085-285-0899 |
BestNourishment.blogspot.com
เบ็สท นอริชเม้นท.บล็อกสปอต.คอม เราพยายามแนะนำสารอาหารที่ดีที่สุดในการรักษา ลดละผลข้างเคียงจากการใช้ยาเป็นแพทย์ทางเลือก สารสกัดมีผลการรักษามากกว่ารับประทานโดยตรง
วันพุธที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555
วันศุกร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2555
วันพฤหัสบดีที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2555
วันศุกร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2553
โคคิวเทน อาหารเสริมจำเป็นสำหรับหัวใจที่แข็งแรง
โคเอนไซม์คิวเทน หรือ โคคิวเทน(Coenzyme Q10)ทำหน้าที่ร่วมกับเอนไซม์ทุกชนิด-
ในร่างกาย ในการทำงานของปฏิกิริยาเคมีทุกชนิดในร่างกาย โคคิวเทนมีบทบาทสำคัญใน-
การทำหน้าที่เป็นเชื้อเพลิงในปฏิกิริยาการหายใจของเซลล์ หากไม่มีโคคิวเทนเซลล์จะไม่
สามารถหายใจได้เลย แม้จะมีออกซิเจนก็ตาม หากเปรียบเซลล์แต่ละเซลล์เป็นเสมือน-
รถยนต์ โคคิวเทนคือสวิตซ์ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวสตาร์ทรถยนต์นั่นเอง
โคคิวเทนมีในเซลล์ทุกๆเซลล์ของร่างกาย ในแต่ละอวัยวะของร่างกาย จะมีโคคิวเทนใน-
ปริมาณไม่เท่ากัน อวัยวะที่มีปริมาณโคคิวเทนมาก คือ หัวใจ ตับ ไต และสมอง ซึ่งเป็น-
กลุ่มที่ต้องการโคคิวเทนสูง เนื่องจากเป็อวัยวะที่ทำงานหนักที่สุดของร่างกาย
นอกจากทำหน้าที่เป็นเชื้อเพลิงในกระบวนการหายใจให้กับเซลล์ทุกเซลล์แล้ว โคคิวเทน-
ยังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระประสิทธิภาพสูง และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้วิตามินอีในเซลล์
นอกจากนี้ ยังทำหน้าที่ปกป้องผิวจากการถูกทำลายโดยแสงแดด
ปกติแล้ว โคคิวเทนเป็นสารธรรมชาติ ซึ่งถูกผลิตขึ้นในเซลล์ของร่างกาย และก็เหมือน-
สารต้านอนุมูลอิสระอื่นๆ คือ เมื่อคนเรามีอายุมากขึ้น ร่างกายจะผลิตได้น้อยลง การลดลง-
ของระดับโคคิวเทนในเซลล์ เป็นปัจจัยหนึ่งซึ่งก่อให้เกิดความผิดปกติ เช่น สภาวะแก่ชรา
ภูมิต้านทานต่ำ โรคหัวใจ โรคมะเร็ง และอัลไซม์เมอร์ เป็นการยากมากที่จะหาโคคิวเทน-
รับประทานในอาหารประจำวัน เนื่องจากโคคิวเทนจะมีมากในเนื้อสัตว์ดิบๆ เช่น ตับดิบๆ
เนื้อวัวดิบๆ แซลมอนเป็นต้น หากเราต้องการได้รับสารอาหารที่ส่งผลดีอย่างน่าอัศจรรย์นี้
ก็จำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องได้รับอาหารเสริม
โคคิวเทนกับโรคหัวใจ
หัวใจเป็นอวัยวะซึ่งต้องใช้พลังงานสูง เนื่องจากหัวใจมีอัตราการเต้น60ครั้งต่อนาที หรือ
100,000ครั้งต่อวัน โดยไม่มีการหยุดพัก ตลอดชีวิตคนเราหัวใจเต้นถึง2.5พันล้านครั้งโดย-
เฉลี่ย และเป็นอวัยวะที่ต้องใช้โคคิวเทนในปริมาณสูงมากเพื่อเป็นเชื้อเพลิงในการสร้างพลัง
งานให้กับเซลล์หัวใจจำนวน2ล้านเซลล์ กล้ามเนื้อหัวใจต้องการโคคิวเทนในปริมาณที่มาก-
กว่าอวัยวะอื่นๆถึง2เท่า ผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือดหัวใจ มีปริมาณโคคิวเทนเพียง75%
ของผู้มีสุขภาพปกติ และเมื่อปริมาณโคคิวเทนในกล้ามเนื้อหัวใจลดต่ำกว่า25% หัว-
ใจจะหยุดทำงาน
แพทย์แผนปัจจุบันจำนวนมากในสหรัฐอเมริกา สั่งจ่ายโคคิวเทนร่วมกับยาแผนปัจจุบันใน
การรักษาผู้ป่วยโรคหัวใจ และพบว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่มีอาการดีขึ้นอย่างน่าพึงพอใจ รวมทั้ง-
ทำให้การจ่ายยาแผนปัจจุบันลดลงโดยไม่มีผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ใดๆ ผลงานวิจัยที่-
น่าสนใจในสหรัฐอเมริกาพบว่า อายุของผู้ป่วยโรคหัวใจที่มีการรับประทานโคคิวเทนเป็นอา-
หารเสริม มีอายุที่ยืนยาวกว่าผู้ป่วยที่ไม่ได้รับโคคิวเทนเป็นระยะเวลาโดยเฉลี่ยถึงสามปี
ผลการวิจัยทางการแพทย์ที่ถูกตีพิมพ์จากทั่วโลกกว่า50ฉบับตั้งแต่ปี1990รายงานตรงกัน
ว่า การได้รับโคคิวเทนให้ผลดีอย่างยิ่งกับผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจ ผู้ป่วยที่มีอาการหัวใจ-
เต้นผิดจังหวะ ผู้ป่วยเกี่ยวกับหลอดเลือดไปเลี้ยงหัวใจ ผู้ป่วยที่มีภาวะหลอดเลือดหัวใจอด-
ตัน ผู้ป่วยลิ้นหัวใจรั่ว และผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง ผู้ป่วยบางรายมีอาการดีขึ้นมาก จน-
สามารถหลีกเลี่ยงการผ่าตัดหัวใจได้ รวมทั้งผู้ป่วยที่ผ่านการผ่าตัดเปิดเส้นเลือดใหม่ให้หัว-
ใจ(Bypass Surgery) ก็มีอาการฟื้นตัวหลังผ่าตัดอย่างรวดเร็ด Dr.Robert C.Atkins แพทย์
ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาบำบัดด้วย แนะนำว่า
ผู้ป่วยเกี่ยวกับโรคหัวใจ และหลอดเลือดทุกคน ควรได้รับสารอาหารโคคิวเทนเสริมในชีวิต-
ประจำวันอย่างสม่ำเสมอ และต่อเนื่อง
โคคิวเทนกับโรคความดันโลหิตสูง
ผลการวิจัยจากDr.Atkins บ่งบอกว่าผู้ป่วยกว่า75%ที่มีภาวะความดันโลหิตสูงไม่จำเป็น-
ต้องพึ่งยารักษาอีกต่อไป โดยการรัประทานโคคิวเทนเสริมวันละ60-100มิลลิกรัม
โคคิวเทนกับเบาหวาน
ผลการวิจัยทางการแพทย์จากประเทศญี่ปุ่นรายงานว่า การใช้โคคิวเทน60มิลลิกรัมต่อวัน
เป็นระยะเวลา6เดือน สามารถลดน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวาน และลดภาวะหลอด-
เลือดแดงแข็ง ซึ่งเป็นอาการหนึ่งของโรคเบาหวานได้ด้วย
โคคิวเทนกับการลดน้ำหนัก
มีรายงานการใช้โคคิวเทนปริมาณ100มิลลิกรัมต่อวัน ร่วมกับการควบคุมอาหารในอาสา-
สมัครที่มีน้ำหนักเกิน พบว่าอาสาสมัครมีน้ำหนักตัวลดลงโดยเฉลี่ย13.5กิโลกรัม ภายในระ-
ยะเวลา2เดือน เนื่องจากโคคิวเทนทำให้เกิดการเผาผลาญมากขึ้น และมีการใช้ไขมันเป็น-
แหล่งพลังงานในการเผาผลาญ
โคคิวเทนกับมะเร็ง
ในร่างกายของผู้ป่วยมะเร็งจะมีปริมาณโคคิวเทนลดลงกว่าปกติมาก รายงานทางการ-
แพทย์มากมายบอกตรงกันว่า การให้โคคิวเทนในผู้ป่วยมะเร็ง ทำให้ผู้ป่วยส่วนใหญ่มีอา-
การดีขึ้น แต่ผลการวิจัยที่โด่งดังเป็นของนายแพทย์ชาวเดนมาร์คในปี1993 ที่ให้โคคิวเทน
ในปริมาณ90มิลลิกรัมต่อวัน ในผู้ป่วยมะเร็งหน้าอกระยะสุดท้ายจำนวน32คน อายุตั้งแต่-
32-81ปี ที่มีการกระจายของมะเร็งไปยังตับ และต่อมน้ำเหลืองแล้ว ร่วมกับการรักษาทาง-
การแพทย์แผนปัจจุบันเป็นระยะเวลาหลายเดือน ปรากฏว่าผู้ป่วยทั้งหมดรอดชีวิต โดย
ที่ส่วนใหญ่มีอาการดีขึ้น และผู้ป่วย4ใน32รายหายขาดจากมะเร็งในที่สุด ทั้งนี้โคคิวเทน-
ไม่ได้มีผลฆ่ามะเร็งโดยตรง แต่โคคิวเทนทำให้ร่างกายมีภูมิต้านทานสูงขึ้น มีผลให้กระ-
บวนการทำลายสิ่งแปลกปลอมตามธรรมชาติของร่างกายทำหน้าที่ทำลายเซลล์มะเร็งเอง
โคคิวเทนกับสมอง
อวัยวะที่มีโคคิวเทนในปริมาณมากอีกอวัยวะหนึ่งคือสมอง ซึ่งเป็นอวัยวะที่ต้องใช้พลัง-
งานมาก เมื่อปริมาณโคคิวเทนในเซลล์สมองลดลง เมื่อคนเรามีอายุมากขึ้น จะนำไปสู่-
โรคแห่งความเสื่อมของเซลล์สมองหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นโรคอัลไซม์เมอร์ หรือกระทั่ง-
โรคพาร์กินสัน ซึ่งเมื่อให้โคคิวเทนร่วมในผู้ป่วยเหล่านี้ พบว่าผู้ป่วยมีอาการดีขึ้น
โคคิวเทนกับโรคเหงือก
โรคเหงือกอักเสบเป็นอาการที่เกิดขึ้นตั้งแต่วัยกลางคนเป็นต้นไป กว่า68%ของผู้สูง-
อายุชาวอเมริกันเป็นโรคเหงือกอักเสบเนื่องจากมีอายุมากขึ้น การซ่อมแซมตัวเองของ-
เหงือกจะทำได้น้อยลง นอกจากนี้เส้นใยคอลลาเจนซึ่งเป็นเนื้อเยื่อที่ยึดเหงือกกับฟันยัง-
เสื่อมลง ที่ญี่ปุ่นจึงมีการนำโคคิวเทนมารักษาเหงือกอักเสบ ทั้งรูปแบบของการรัประทาน
เป็นอาหารเสริม และการทาลงไปตรงๆที่บริเวณเหงือก ผลปรากฏว่าอาการของผู้ป่วยส่วน
ใหญ่ดีขึ้นอย่างรวดเร็ว เทียบกับการรักษาโดยปกติที่ไม่มีการให้โคคิวเทนร่วมด้วย และ
เริ่มมีการผสมโคคิวเทนในผลิตภัณฑ์ยาสีฟัน น้ำยาบ้วนปากเพื่อช่วยดูแลรักษาเหงือกด้วย
โคคิวเทนกับอาการอ่อนเพลียไร้เรี่ยวแรง
เมื่อร่างกายผลิตพลังงานได้น้อยลง ร่างกายเราจะรู้สึกอ่อนเพลียไร้เรี่ยวแรง สมองมึน-
งง โคคิวเทนเป็นสารอาหารที่สำคัญในการที่ร่างกายจะดึงเอาแหล่งพลังงานในเซลล์มา-
ใช้ไม่ว่าจะเป็นจากคาร์โบไฮเดรตหรือไขมัน มีการใช้โคคิวเทนในผู้ที่ออกกำลังกายแบบ-
แอโรบิค และนักกีฬามาราธอน ทำให้มีความทนทานต่อการออกกำลังกายได้นานขึ้น และ
เหนื่อยน้อยลง
โคคิวเทนกับโรคAIDS
เนื่องจากโคคิวเทนเป็นสารกระตุ้นภูมิต้านนทานของร่างกาย แนะนำให้ใช้โคคิวเทน-
เสริมในผู้ป่วยAIDS เพื่อเพิ่มภูมิต้านทาน และทำให้ร่างกายใช้พลังงานได้ดีขึ้น
ประโยชน์ด้านอื่นๆของโคคิวเทน
ใช้ในผู้ป่วยโรคปอด เช่น ถุงลมโป่งพอง ถุงลมอักเสบ หอบหืด ชะลอความชราในระ-
ดับเซลล์ เนื่องจากโคคิวเทนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระทั้งภายในและภายนอกเซลล์ ใช้ใน-
ผู้ป่วยกล้ามเนื้อลีบ กล้ามเนื้ออ่ออนแรง ช่วยภาวะการเป็นหมันในเพศชาย เพิ่มจำนวน-
สเปอร์มที่มีชีวิต และทำให้สเปอร์มแข็งแรงขึ้น
อ้างอิงจาก NutraHerbal บริษัท ไทยธรรมอัลไลแอนซ์
ในร่างกาย ในการทำงานของปฏิกิริยาเคมีทุกชนิดในร่างกาย โคคิวเทนมีบทบาทสำคัญใน-
การทำหน้าที่เป็นเชื้อเพลิงในปฏิกิริยาการหายใจของเซลล์ หากไม่มีโคคิวเทนเซลล์จะไม่
สามารถหายใจได้เลย แม้จะมีออกซิเจนก็ตาม หากเปรียบเซลล์แต่ละเซลล์เป็นเสมือน-
รถยนต์ โคคิวเทนคือสวิตซ์ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวสตาร์ทรถยนต์นั่นเอง
โคคิวเทนมีในเซลล์ทุกๆเซลล์ของร่างกาย ในแต่ละอวัยวะของร่างกาย จะมีโคคิวเทนใน-
ปริมาณไม่เท่ากัน อวัยวะที่มีปริมาณโคคิวเทนมาก คือ หัวใจ ตับ ไต และสมอง ซึ่งเป็น-
กลุ่มที่ต้องการโคคิวเทนสูง เนื่องจากเป็อวัยวะที่ทำงานหนักที่สุดของร่างกาย
นอกจากทำหน้าที่เป็นเชื้อเพลิงในกระบวนการหายใจให้กับเซลล์ทุกเซลล์แล้ว โคคิวเทน-
ยังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระประสิทธิภาพสูง และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้วิตามินอีในเซลล์
นอกจากนี้ ยังทำหน้าที่ปกป้องผิวจากการถูกทำลายโดยแสงแดด
ปกติแล้ว โคคิวเทนเป็นสารธรรมชาติ ซึ่งถูกผลิตขึ้นในเซลล์ของร่างกาย และก็เหมือน-
สารต้านอนุมูลอิสระอื่นๆ คือ เมื่อคนเรามีอายุมากขึ้น ร่างกายจะผลิตได้น้อยลง การลดลง-
ของระดับโคคิวเทนในเซลล์ เป็นปัจจัยหนึ่งซึ่งก่อให้เกิดความผิดปกติ เช่น สภาวะแก่ชรา
ภูมิต้านทานต่ำ โรคหัวใจ โรคมะเร็ง และอัลไซม์เมอร์ เป็นการยากมากที่จะหาโคคิวเทน-
รับประทานในอาหารประจำวัน เนื่องจากโคคิวเทนจะมีมากในเนื้อสัตว์ดิบๆ เช่น ตับดิบๆ
เนื้อวัวดิบๆ แซลมอนเป็นต้น หากเราต้องการได้รับสารอาหารที่ส่งผลดีอย่างน่าอัศจรรย์นี้
ก็จำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องได้รับอาหารเสริม
โคคิวเทนกับโรคหัวใจ
หัวใจเป็นอวัยวะซึ่งต้องใช้พลังงานสูง เนื่องจากหัวใจมีอัตราการเต้น60ครั้งต่อนาที หรือ
100,000ครั้งต่อวัน โดยไม่มีการหยุดพัก ตลอดชีวิตคนเราหัวใจเต้นถึง2.5พันล้านครั้งโดย-
เฉลี่ย และเป็นอวัยวะที่ต้องใช้โคคิวเทนในปริมาณสูงมากเพื่อเป็นเชื้อเพลิงในการสร้างพลัง
งานให้กับเซลล์หัวใจจำนวน2ล้านเซลล์ กล้ามเนื้อหัวใจต้องการโคคิวเทนในปริมาณที่มาก-
กว่าอวัยวะอื่นๆถึง2เท่า ผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือดหัวใจ มีปริมาณโคคิวเทนเพียง75%
ของผู้มีสุขภาพปกติ และเมื่อปริมาณโคคิวเทนในกล้ามเนื้อหัวใจลดต่ำกว่า25% หัว-
ใจจะหยุดทำงาน
แพทย์แผนปัจจุบันจำนวนมากในสหรัฐอเมริกา สั่งจ่ายโคคิวเทนร่วมกับยาแผนปัจจุบันใน
การรักษาผู้ป่วยโรคหัวใจ และพบว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่มีอาการดีขึ้นอย่างน่าพึงพอใจ รวมทั้ง-
ทำให้การจ่ายยาแผนปัจจุบันลดลงโดยไม่มีผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ใดๆ ผลงานวิจัยที่-
น่าสนใจในสหรัฐอเมริกาพบว่า อายุของผู้ป่วยโรคหัวใจที่มีการรับประทานโคคิวเทนเป็นอา-
หารเสริม มีอายุที่ยืนยาวกว่าผู้ป่วยที่ไม่ได้รับโคคิวเทนเป็นระยะเวลาโดยเฉลี่ยถึงสามปี
ผลการวิจัยทางการแพทย์ที่ถูกตีพิมพ์จากทั่วโลกกว่า50ฉบับตั้งแต่ปี1990รายงานตรงกัน
ว่า การได้รับโคคิวเทนให้ผลดีอย่างยิ่งกับผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจ ผู้ป่วยที่มีอาการหัวใจ-
เต้นผิดจังหวะ ผู้ป่วยเกี่ยวกับหลอดเลือดไปเลี้ยงหัวใจ ผู้ป่วยที่มีภาวะหลอดเลือดหัวใจอด-
ตัน ผู้ป่วยลิ้นหัวใจรั่ว และผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง ผู้ป่วยบางรายมีอาการดีขึ้นมาก จน-
สามารถหลีกเลี่ยงการผ่าตัดหัวใจได้ รวมทั้งผู้ป่วยที่ผ่านการผ่าตัดเปิดเส้นเลือดใหม่ให้หัว-
ใจ(Bypass Surgery) ก็มีอาการฟื้นตัวหลังผ่าตัดอย่างรวดเร็ด Dr.Robert C.Atkins แพทย์
ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาบำบัดด้วย แนะนำว่า
ผู้ป่วยเกี่ยวกับโรคหัวใจ และหลอดเลือดทุกคน ควรได้รับสารอาหารโคคิวเทนเสริมในชีวิต-
ประจำวันอย่างสม่ำเสมอ และต่อเนื่อง
โคคิวเทนกับโรคความดันโลหิตสูง
ผลการวิจัยจากDr.Atkins บ่งบอกว่าผู้ป่วยกว่า75%ที่มีภาวะความดันโลหิตสูงไม่จำเป็น-
ต้องพึ่งยารักษาอีกต่อไป โดยการรัประทานโคคิวเทนเสริมวันละ60-100มิลลิกรัม
โคคิวเทนกับเบาหวาน
ผลการวิจัยทางการแพทย์จากประเทศญี่ปุ่นรายงานว่า การใช้โคคิวเทน60มิลลิกรัมต่อวัน
เป็นระยะเวลา6เดือน สามารถลดน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวาน และลดภาวะหลอด-
เลือดแดงแข็ง ซึ่งเป็นอาการหนึ่งของโรคเบาหวานได้ด้วย
โคคิวเทนกับการลดน้ำหนัก
มีรายงานการใช้โคคิวเทนปริมาณ100มิลลิกรัมต่อวัน ร่วมกับการควบคุมอาหารในอาสา-
สมัครที่มีน้ำหนักเกิน พบว่าอาสาสมัครมีน้ำหนักตัวลดลงโดยเฉลี่ย13.5กิโลกรัม ภายในระ-
ยะเวลา2เดือน เนื่องจากโคคิวเทนทำให้เกิดการเผาผลาญมากขึ้น และมีการใช้ไขมันเป็น-
แหล่งพลังงานในการเผาผลาญ
โคคิวเทนกับมะเร็ง
ในร่างกายของผู้ป่วยมะเร็งจะมีปริมาณโคคิวเทนลดลงกว่าปกติมาก รายงานทางการ-
แพทย์มากมายบอกตรงกันว่า การให้โคคิวเทนในผู้ป่วยมะเร็ง ทำให้ผู้ป่วยส่วนใหญ่มีอา-
การดีขึ้น แต่ผลการวิจัยที่โด่งดังเป็นของนายแพทย์ชาวเดนมาร์คในปี1993 ที่ให้โคคิวเทน
ในปริมาณ90มิลลิกรัมต่อวัน ในผู้ป่วยมะเร็งหน้าอกระยะสุดท้ายจำนวน32คน อายุตั้งแต่-
32-81ปี ที่มีการกระจายของมะเร็งไปยังตับ และต่อมน้ำเหลืองแล้ว ร่วมกับการรักษาทาง-
การแพทย์แผนปัจจุบันเป็นระยะเวลาหลายเดือน ปรากฏว่าผู้ป่วยทั้งหมดรอดชีวิต โดย
ที่ส่วนใหญ่มีอาการดีขึ้น และผู้ป่วย4ใน32รายหายขาดจากมะเร็งในที่สุด ทั้งนี้โคคิวเทน-
ไม่ได้มีผลฆ่ามะเร็งโดยตรง แต่โคคิวเทนทำให้ร่างกายมีภูมิต้านทานสูงขึ้น มีผลให้กระ-
บวนการทำลายสิ่งแปลกปลอมตามธรรมชาติของร่างกายทำหน้าที่ทำลายเซลล์มะเร็งเอง
โคคิวเทนกับสมอง
อวัยวะที่มีโคคิวเทนในปริมาณมากอีกอวัยวะหนึ่งคือสมอง ซึ่งเป็นอวัยวะที่ต้องใช้พลัง-
งานมาก เมื่อปริมาณโคคิวเทนในเซลล์สมองลดลง เมื่อคนเรามีอายุมากขึ้น จะนำไปสู่-
โรคแห่งความเสื่อมของเซลล์สมองหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นโรคอัลไซม์เมอร์ หรือกระทั่ง-
โรคพาร์กินสัน ซึ่งเมื่อให้โคคิวเทนร่วมในผู้ป่วยเหล่านี้ พบว่าผู้ป่วยมีอาการดีขึ้น
โคคิวเทนกับโรคเหงือก
โรคเหงือกอักเสบเป็นอาการที่เกิดขึ้นตั้งแต่วัยกลางคนเป็นต้นไป กว่า68%ของผู้สูง-
อายุชาวอเมริกันเป็นโรคเหงือกอักเสบเนื่องจากมีอายุมากขึ้น การซ่อมแซมตัวเองของ-
เหงือกจะทำได้น้อยลง นอกจากนี้เส้นใยคอลลาเจนซึ่งเป็นเนื้อเยื่อที่ยึดเหงือกกับฟันยัง-
เสื่อมลง ที่ญี่ปุ่นจึงมีการนำโคคิวเทนมารักษาเหงือกอักเสบ ทั้งรูปแบบของการรัประทาน
เป็นอาหารเสริม และการทาลงไปตรงๆที่บริเวณเหงือก ผลปรากฏว่าอาการของผู้ป่วยส่วน
ใหญ่ดีขึ้นอย่างรวดเร็ว เทียบกับการรักษาโดยปกติที่ไม่มีการให้โคคิวเทนร่วมด้วย และ
เริ่มมีการผสมโคคิวเทนในผลิตภัณฑ์ยาสีฟัน น้ำยาบ้วนปากเพื่อช่วยดูแลรักษาเหงือกด้วย
โคคิวเทนกับอาการอ่อนเพลียไร้เรี่ยวแรง
เมื่อร่างกายผลิตพลังงานได้น้อยลง ร่างกายเราจะรู้สึกอ่อนเพลียไร้เรี่ยวแรง สมองมึน-
งง โคคิวเทนเป็นสารอาหารที่สำคัญในการที่ร่างกายจะดึงเอาแหล่งพลังงานในเซลล์มา-
ใช้ไม่ว่าจะเป็นจากคาร์โบไฮเดรตหรือไขมัน มีการใช้โคคิวเทนในผู้ที่ออกกำลังกายแบบ-
แอโรบิค และนักกีฬามาราธอน ทำให้มีความทนทานต่อการออกกำลังกายได้นานขึ้น และ
เหนื่อยน้อยลง
โคคิวเทนกับโรคAIDS
เนื่องจากโคคิวเทนเป็นสารกระตุ้นภูมิต้านนทานของร่างกาย แนะนำให้ใช้โคคิวเทน-
เสริมในผู้ป่วยAIDS เพื่อเพิ่มภูมิต้านทาน และทำให้ร่างกายใช้พลังงานได้ดีขึ้น
ประโยชน์ด้านอื่นๆของโคคิวเทน
ใช้ในผู้ป่วยโรคปอด เช่น ถุงลมโป่งพอง ถุงลมอักเสบ หอบหืด ชะลอความชราในระ-
ดับเซลล์ เนื่องจากโคคิวเทนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระทั้งภายในและภายนอกเซลล์ ใช้ใน-
ผู้ป่วยกล้ามเนื้อลีบ กล้ามเนื้ออ่ออนแรง ช่วยภาวะการเป็นหมันในเพศชาย เพิ่มจำนวน-
สเปอร์มที่มีชีวิต และทำให้สเปอร์มแข็งแรงขึ้น
อ้างอิงจาก NutraHerbal บริษัท ไทยธรรมอัลไลแอนซ์
วันพุธที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
ทำไมต้องกินอาหารเสริม
กินดีอยู่ทุกวันแล้วต้องกินอาหารเสริมด้วยเหรอ กินอาหารครบห้าหมู่แล้วต้องเสริมอีกเหรอ
ตอบ ต้องกินครับ มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสุขภาพของแต่ละคน
เหตุผลง่ายๆว่าทำไมต้องกิน อาหารที่เรากินในปัจจุบันนี้ไม่ได้ให้สารอาหารแก่ผู้บริโภคอย่าง
เต็มที่เพราะ
1.ดินที่ใช้ปลูกพืชมีปุ๋ยธรรมชาติไม่เพียงพอ ทำให้พืชมีสารอาหารน้อยลงไป
2.การใช้ยาฆ่าแมลง ยาฆ่าหญ้าและวัชพืช จะทำให้มีสารพิษตกค้างอยู่ในและบนอาหาร และ
ไปทำลายดินโดยไปฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ และไส้เดือนซึ่งเป็นสิ่งจำเป็น เพราะมูลของไส้เดือนเป็น-
ปุ๋ยที่ดีที่สุดก็ว่าได้
3.ผลไม้จะถูกเก็บและส่งไปจำหน่ายก่อนที่จะถึงเวลาเก็บ ทำให้เราไม่ได้กินผลไม้ที่สุกคาต้น
และผลไม้ที่แก่จัดนี่แหละที่มีสารอาหารที่มีคุณค่าอยู่มาก
4.อาหารแช่แข็ง อาหารกระป๋อง อาหารสำเร็จรูป อาหารตากแห้งและแช่อิ่ม อาหารเหล่านี้-
ถูกขั้นตอนการผลิตทำลายสารอาหารไปไม่มากก็น้อย
5.การใช้สารเคมีปรุงแต่งรสและสี รวมถึงไขมันเทียมซึ่งอาจเป็นพิษได้ และอาหารเหล่านี้-
เข้าไปทดแทนสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย
6.การบริโภคน้ำตาลบริสุทธิ์ ที่ปราศจากวิตามินที่จำเป็นในแต่ละวัน
สิ่งต่างๆเหล่านี้เป็นตัวทำให้ร่างกายใช้สารอาหารให้หมดไปอย่างรวดเร็ด
-บุหรี่ แอลกอฮอล์
-เกลือ น้ำตาล น้ำมันที่มีกลิ่นเหม็นหืน
-ยาปฏิชีวนะ
-ยานอนหลับ ยาระงับประสาท
-การผ่าตัด การเจ็บป่วย อุบัติเหตุ
-ความเครียดของอารมณ์
-อากาศเสีย น้ำเสีย
-ยาฆ่าแมลง
-สิ่งที่แต่งเติมสีและรสของอาหาร
-ร้อนจัด หนาวจัด
-การตั้งครรภ์และให้นมบุตร
ทุกอย่างที่กล่าวมา ทำให้ร่างกายต้องการสารอาหารเพิ่มขึ้น เพราะร่างกายต้องทำงานหนัก-
ขึ้นเป็นพิเศษ จึงจำเป็นต้องกินอาหารเสริม วิตามิน แร่ธาตุต่างๆ เพื่อเติมในสิ่งที่ขาดหายไป
ร่างกายจึงจะไม่อ่อนแอ เจ็บออดๆแอดๆ
ตอบ ต้องกินครับ มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสุขภาพของแต่ละคน
เหตุผลง่ายๆว่าทำไมต้องกิน อาหารที่เรากินในปัจจุบันนี้ไม่ได้ให้สารอาหารแก่ผู้บริโภคอย่าง
เต็มที่เพราะ
1.ดินที่ใช้ปลูกพืชมีปุ๋ยธรรมชาติไม่เพียงพอ ทำให้พืชมีสารอาหารน้อยลงไป
2.การใช้ยาฆ่าแมลง ยาฆ่าหญ้าและวัชพืช จะทำให้มีสารพิษตกค้างอยู่ในและบนอาหาร และ
ไปทำลายดินโดยไปฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ และไส้เดือนซึ่งเป็นสิ่งจำเป็น เพราะมูลของไส้เดือนเป็น-
ปุ๋ยที่ดีที่สุดก็ว่าได้
3.ผลไม้จะถูกเก็บและส่งไปจำหน่ายก่อนที่จะถึงเวลาเก็บ ทำให้เราไม่ได้กินผลไม้ที่สุกคาต้น
และผลไม้ที่แก่จัดนี่แหละที่มีสารอาหารที่มีคุณค่าอยู่มาก
4.อาหารแช่แข็ง อาหารกระป๋อง อาหารสำเร็จรูป อาหารตากแห้งและแช่อิ่ม อาหารเหล่านี้-
ถูกขั้นตอนการผลิตทำลายสารอาหารไปไม่มากก็น้อย
5.การใช้สารเคมีปรุงแต่งรสและสี รวมถึงไขมันเทียมซึ่งอาจเป็นพิษได้ และอาหารเหล่านี้-
เข้าไปทดแทนสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย
6.การบริโภคน้ำตาลบริสุทธิ์ ที่ปราศจากวิตามินที่จำเป็นในแต่ละวัน
สิ่งต่างๆเหล่านี้เป็นตัวทำให้ร่างกายใช้สารอาหารให้หมดไปอย่างรวดเร็ด
-บุหรี่ แอลกอฮอล์
-เกลือ น้ำตาล น้ำมันที่มีกลิ่นเหม็นหืน
-ยาปฏิชีวนะ
-ยานอนหลับ ยาระงับประสาท
-การผ่าตัด การเจ็บป่วย อุบัติเหตุ
-ความเครียดของอารมณ์
-อากาศเสีย น้ำเสีย
-ยาฆ่าแมลง
-สิ่งที่แต่งเติมสีและรสของอาหาร
-ร้อนจัด หนาวจัด
-การตั้งครรภ์และให้นมบุตร
ทุกอย่างที่กล่าวมา ทำให้ร่างกายต้องการสารอาหารเพิ่มขึ้น เพราะร่างกายต้องทำงานหนัก-
ขึ้นเป็นพิเศษ จึงจำเป็นต้องกินอาหารเสริม วิตามิน แร่ธาตุต่างๆ เพื่อเติมในสิ่งที่ขาดหายไป
ร่างกายจึงจะไม่อ่อนแอ เจ็บออดๆแอดๆ
รับปรึกษาปัญหาสุขภาพ โทร 085-285-0899 (เอกรินทร์) |
วันอาทิตย์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
โรคเก๊าท์และรูมาตอยด์กับการบำบัด
โรคเก๊าท์และโรครูมาตอยด์รักษาไม่หายขาด แต่บำบัดและควบคุมให้เป็นปกติสุขได้
การสะสมของกรดยูลิคตามข้อต่อที่เป็นสาเหตุของการปวดบวม อักเสบ จนกระดูกเสียรูป
และกระดูกห่าง ถึงกับทำงานไม่ได้ เดินไม่ได้ ยิ่งเป็นมากยิ่งทรมาณ โรคเก๊าท์และโรครูมาตอยด์
ไม่ใช่โรคที่ต้องหมดหวัง แต่การบำบัดรักษาก็ไม่ง่าย และยาที่ระงับอาการปวดบวมอักเสบ
ได้ดีแค่ไหนก็มีผลข้างเคียงแค่นั้น ยิ่งกินเป็นเวลานานแค่ไหนผลข้างเคียงก็มากเท่านั้น
ลดการสะสมของกรดยูลิคด้วยอาหารต้องห้าม ปลาหมึกไข่ปลาหมึก ปีกสัตว์ทุกชนิด
เครื่องในสัตว์ทุกชนิด ยอดผักทุกชนิด และต้องกินผักผลไม้ทุกวัน เสริมด้วยวิตามินบี1
บี2บีรวม วิตามินเอ วิตามินซี วิตามินอี วิตามินดี แคลเซี่ยม แมกนีเซี่ยม เป็นต้น
กลุ่มตัวอย่างอาหารเสริมที่ควรรับประทาน
-น้ำมันปลา มีดีเอชเอ ระงับความปวด และอาการอับเสบบริเวณข้อ
-น้ำมันรำข้าวและจมูกข้าว มีวิตามินบีหนึ่งบีสองบีรวม และมีวิตามินอีสูง
-น้ำมันเมล็ดองุ่น ลดอาการอับเสบ อาการบวมของข้อต่อ ป้องกันโรคข้ออักเสบ
-สาหร่ายสไปรูลิน่า ลดอาการอับเสบ ล้างพิษ ลดการสะสมของกรดยูลิคตามข้อต่อ
-แคลเซี่ยม+แมกนีเซี่ยม แมกนีเซี่ยมทำหน้าที่นำพาแคลเซี่ยมเข้าสู่ภายในเซลล์กระดูก
*นี่เป็นแค่บางส่วนของอาหารเสริม วิตามิน และแร่ธาตุ แต่ที่แน่ๆ ยาที่ระงับอาการปวด ลด-
การอักเสบ ลดบวม ทำให้ความเจ็บปวดสงบลงได้เป็นอย่างดี แต่ผลข้างเคียงจากการ
ใช้ยาก็มีมากเท่าๆกัน
สรุป การรักษาโรคนี้ด้วยโภชนาการ ได้ผลดีกว่าการที่รักษาด้วยยาที่ใช้กันอยู่ทั่วไป
การสะสมของกรดยูลิคตามข้อต่อที่เป็นสาเหตุของการปวดบวม อักเสบ จนกระดูกเสียรูป
และกระดูกห่าง ถึงกับทำงานไม่ได้ เดินไม่ได้ ยิ่งเป็นมากยิ่งทรมาณ โรคเก๊าท์และโรครูมาตอยด์
ไม่ใช่โรคที่ต้องหมดหวัง แต่การบำบัดรักษาก็ไม่ง่าย และยาที่ระงับอาการปวดบวมอักเสบ
ได้ดีแค่ไหนก็มีผลข้างเคียงแค่นั้น ยิ่งกินเป็นเวลานานแค่ไหนผลข้างเคียงก็มากเท่านั้น
ลดการสะสมของกรดยูลิคด้วยอาหารต้องห้าม ปลาหมึกไข่ปลาหมึก ปีกสัตว์ทุกชนิด
เครื่องในสัตว์ทุกชนิด ยอดผักทุกชนิด และต้องกินผักผลไม้ทุกวัน เสริมด้วยวิตามินบี1
บี2บีรวม วิตามินเอ วิตามินซี วิตามินอี วิตามินดี แคลเซี่ยม แมกนีเซี่ยม เป็นต้น
กลุ่มตัวอย่างอาหารเสริมที่ควรรับประทาน
-น้ำมันปลา มีดีเอชเอ ระงับความปวด และอาการอับเสบบริเวณข้อ
-น้ำมันรำข้าวและจมูกข้าว มีวิตามินบีหนึ่งบีสองบีรวม และมีวิตามินอีสูง
-น้ำมันเมล็ดองุ่น ลดอาการอับเสบ อาการบวมของข้อต่อ ป้องกันโรคข้ออักเสบ
-สาหร่ายสไปรูลิน่า ลดอาการอับเสบ ล้างพิษ ลดการสะสมของกรดยูลิคตามข้อต่อ
-แคลเซี่ยม+แมกนีเซี่ยม แมกนีเซี่ยมทำหน้าที่นำพาแคลเซี่ยมเข้าสู่ภายในเซลล์กระดูก
*นี่เป็นแค่บางส่วนของอาหารเสริม วิตามิน และแร่ธาตุ แต่ที่แน่ๆ ยาที่ระงับอาการปวด ลด-
การอักเสบ ลดบวม ทำให้ความเจ็บปวดสงบลงได้เป็นอย่างดี แต่ผลข้างเคียงจากการ
ใช้ยาก็มีมากเท่าๆกัน
สรุป การรักษาโรคนี้ด้วยโภชนาการ ได้ผลดีกว่าการที่รักษาด้วยยาที่ใช้กันอยู่ทั่วไป
รับปรึกษาปัญหาสุขภาพ โทร 085-285-0899 |
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)